เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ส.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ฉะนั้นมนุษย์อยู่ที่ไหนต้องมีศีลธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรมมันกดขี่ข่มเหงกัน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เห็นไหม แม้แต่ ๒ คนขึ้นไปมันก็มีความขัดแย้ง ความขัดแย้ง นี่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้าสัตว์สังคม เวลาอยู่ด้วยกันเราต้องการอำนาจ ทุกคนอยากมีอำนาจ แต่ทุกคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ถ้าไม่มีกิเลสเราจะไม่มาเกิดมาตายกันอยู่นี้

การมาเกิดมาตายกันอยู่ แต่กิเลส เห็นไหม คำว่าอนุสัย ของมันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน คำว่าสันดาน นี่สันดรเขาลอกคลอง เขายังทำได้ง่ายกว่า แต่สันดานมันจะขุดกันได้อย่างไร? แต่ความนอนเนื่องมาของกิเลสมันลึกซึ้งกว่านั้น ทีนี้คำว่าลึกซึ้งกว่านั้น คำว่าทำให้ความสะอาดบริสุทธิ์ของใจนี้มันเป็นเรื่องแทบจะสุดวิสัย

คำว่าแทบจะสุดวิสัยแต่มันทำได้ มันทำได้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม คนเรานี่ถ้าคนมีจุดยืน คนมีปฏิภาณไหวพริบ คนนั้นจะอ่านสถานการณ์ต่างๆ ได้ถูกต้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาบารมีมานะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย จนจิตใจมันมั่นคง พอมั่นคงขึ้นมา เวลาบารมีเต็มแล้ว เวลามาประพฤติปฏิบัติอีก ๖ ปี

คำว่า ๖ ปี นี่เพราะเราออกปฏิบัติใหม่ ในสังคมใดก็แล้วแต่ที่เรายังไม่เข้าไปในสังคมนั้น เราก็ต้องหาคนในสังคมนั้น ที่เขาอยู่ในสังคมนั้นเพื่อเป็นผู้ชี้นำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ไปหาครูบาอาจารย์ในสมัยพุทธกาล นี่เขามีสำนักปฏิบัติอยู่แล้ว ใครๆ ก็ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดาๆ เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นแหละ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปพิสูจน์แล้วมันไม่มีสักคนหนึ่ง มันไม่เป็นความจริงสักคนหนึ่ง

ไม่เป็นความจริงเพราะอะไร? ไม่เป็นความจริงเพราะว่าจิตใจของท่านสัมผัส ความสัมผัสนั้นมันไม่มี พอไม่มี เห็นไหม นี่เพราะคนที่มีบุญญาธิการ มีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจ ไม่เชื่อสิ่งใด คล้อยตามสังคมเขาชักนำไป จะไม่คล้อยตามใคร ยืนอยู่ในจุดยืนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง

นี่พูดถึงว่าเราตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส อำนาจของกิเลส เห็นไหม สันดานของเรา ใครมาเยินยอตรงกับความพอใจของตัวนี่มันลอยเลย ยิ่งใครมายกย่องมันไหลเลย นี้เพราะอะไร? เพราะว่าจิตใจเราอ่อนแอไง คำว่ายกย่อง เห็นไหม หลวงตาใช้คำว่า “พวกนี้ชอบกินลูกยอ” ถ้ามียอ ที่ไหนมียอ ลูกยอจากคนอื่นอย่างหนึ่งนะ เวลากิเลสมันยอ มันยอตัวเองไง ยอตัวเอง นี่ดีไปหมด ตัวเองดีไปหมด

นี่เราตกอยู่ในอำนาจของกิเลสอย่างนี้ ถ้าเราตกอยู่ในอำนาจของกิเลส เห็นไหม เรายังต้องขับเคลื่อนไป จิตนี้ยังพร่องอยู่ จิตนี้ยังมีสิ่งใดที่ยังหมักหมมในใจอยู่ มันมีความวิตกทุกข์ร้อนไปทั้งนั้นแหละ เวลาอยู่ด้วยกันมันก็หงอยเหงาเศร้าสร้อยในหัวใจ มันขาดตกบกพร่องไปตลอดเลย มันจะอยู่กับความสุขรื่นเริงขนาดไหนนะ นี่ในสโมสรสันนิบาตเขารื่นเริงขนาดไหน แต่ทุกดวงใจว้าเหว่! ทุกดวงใจว้าเหว่ ไม่ยกเว้น!

ฉะนั้น การเกิดของมนุษย์ เกิดมานี่เจอสัจธรรมคือทุกข์ทั้งนั้นแหละ สัจธรรมนั้นคือทุกข์ ทุกข์คืออริยสัจ ทุกข์คือความจริง ฉะนั้น เกิดเป็นมนุษย์นี้มีอริยทรัพย์ มีทรัพย์มากจริงๆ เพราะเกิดเป็นมนุษย์มีสมอง มีสมองนี้เป็นโลกียปัญญานะ สมองนี้เราเอามาศึกษา เอามาค้นคว้า เอามาศึกษาค้นคว้านะ แล้วเราประพฤติปฏิบัติเข้าไปสู่จิต เวลาเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากสมอง

สมอง เห็นไหม สมองนี้เป็นสสาร เป็นธาตุนะ มันต้องมีพลังงาน มันถึงควบคุมประสาทได้ มันถึงทำงานได้ สมองโดยปกติ เวลาคนเป็นอัลไซเมอร์ เวลาคนสลบไป สมองก็อยู่ของมันอย่างนั้นแหละ แต่มันทำสิ่งใดได้ล่ะ? แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้าไป เวลาปัญญาเกิดจากจิตนี่ภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิต เห็นความสลดสังเวชในหัวใจ เราจะสลดสังเวชในการดำรงชีวิตนี้

ดูสิถ้ามันมีใจเป็นธรรมนะ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านอยู่ของท่านได้ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอยู่ของท่านได้ เห็นไหม นี่บริขาร ๘ ก็เท่ากับปัจจัย ๔ ทำไมท่านอยู่ของท่านได้ ของเรานี่ทำไมเราขาดตกบกพร่องไปทุกอย่างเลย สิ่งใดก็แล้วแต่ไม่พอใจสลัดทิ้งหาใหม่ ไม่พอใจสลัดทิ้งหาใหม่ เราเป็นขี้ข้ามันเป็นทาสมันมาตลอด

นี่ถ้าเรามีจิตใจที่เป็นธรรม จิตใจที่มันมีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม มันเทียบเคียงแล้วมันสลดสังเวชไง มันสลดสังเวชในการดำรงชีวิตเรานี่แหละ ชีวิตเราที่ดำรงอยู่นี้มันสลดสังเวช แต่ถ้าเวลามันคิดโดยกิเลสใช่ไหม? โดยตัณหาความทะยานอยากนะ โดยผู้มีอำนาจเหนือเราไง ผู้มีอำนาจเหนือดวงใจดวงนี้ มันก็บอกขาดตกบกพร่อง ต้องถมให้เต็ม

นี่โลกนี้เป็นอจินไตยนะ โลกนี้เป็นอจินไตย อจินไตยคือมันอยู่ยั่งยืน แต่เราว่าโลกนี้มันจะแตก แต่โลกนี้เวลามันเปลี่ยนแปลงมันเป็นอนิจจัง เห็นไหม แต่ละทวีป มหาทวีป แล้วมันแตกออกไปเป็นกี่ล้านๆ ปี เขาพิสูจน์กันทางวิทยาศาสตร์ นี่มันเวียนไปอย่างนี้ สิ่งที่โลกมันเวียนไป แล้วเราว่าเราขาดตกบกพร่อง เราคิดของเราไปเอง เราต้องการความมั่นคงๆ

ความมั่นคงนะ สิ่งที่ไม่แน่นอนนั่นคือความแน่นอน ถ้าสิ่งที่ความไม่แน่นอน เห็นไหม สิ่งใดมันจะไม่แน่นอน สิ่งใดจะขาดตกบกพร่อง แต่ถ้าหัวใจมีหลักมีเกณฑ์นะ ถึงจะอุดมสมบูรณ์เราก็มีจุดยืนของเรา ถ้ามันจะขาดตกบกพร่องมันก็เป็นกาลเป็นเวลา เรามีเงินของเรามหาศาลเลย เวลาถ้าเกิดไปซื้อสินค้าใด ถ้าสินค้าหมดมันก็ซื้อไม่ได้ เราหาซื้อไม่ได้หรอก เพราะสินค้านั้นมันไม่มี

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าถึงคราวมันขาดตกบกพร่อง เราก็แก้ไขของเราด้วยปัญญาของเรา ถ้าคนมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่มันทันกับตัวเอง พอทันกับตัวเองนะ อำนาจที่เหนือเรามันบังคับบัญชาเราไม่ได้ แต่อำนาจที่เหนือเรา เราแสวงหาอำนาจทางโลกกัน อำนาจทางโลกนี่แสวงหาอำนาจทางเศรษฐกิจ แสวงหาอำนาจทางการเมือง แสวงหาอำนาจทางอิทธิพล แสวงหาอำนาจหมดเลย

แต่ผู้มีอำนาจมากขนาดไหน มันก็ตกอยู่ในอำนาจกิเลสในหัวใจ เห็นไหม แต่ถ้าผู้ใดเป็นธรรม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอำนาจโดยธรรมนะ อำนาจโดยธรรม.. เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ไปเทศน์ยสะ ๖๑ องค์

“เธอทั้งหลายเป็นผู้ที่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลก”

คือสังคมโลก ความสรรเสริญเยินยอ ความต่างๆ เรื่องลับลมคมในทางโลก

“นี่เธอพ้นจากอำนาจของกิเลสทางโลก แล้วเธอพ้นจากบ่วงของมาร ทั้งที่เป็นโลกและที่เป็นทิพย์” เป็นทิพย์คือทางเกิดในวัฏฏะ เห็นไหม

“เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน! โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก โลกนี้เขาต้องการธรรม ต้องการความผ่อนคลาย”

เวลาพระอรหันต์ ๖๑ องค์นะไปอย่าซ้อนทางกัน เห็นไหม อำนาจโดยธรรม มันไม่ใช่แสวงหาอำนาจ มันแสวงหาปลดเปลื้องความทุกข์ ความทุกข์นี่เพราะอะไร? เพราะเราเคยทุกข์ใช่ไหม? เราเคยเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วเราหายเจ็บไข้ได้ป่วย เราจะมีความสุขขนาดไหน? โลกนี้เขาเป็นไข้ใจกันทั้งหมดเลย แล้วถ้าเราไปแก้ไขให้เขาพ้น เขาจะมีความสุขแค่ไหน?

นี่ไงอำนาจโดยธรรม มันเห็นประโยชน์ตรงนี้ไง เห็นประโยชน์ว่าคนที่มันตกทุกข์ได้ยาก ตกทุกข์ได้ยากด้วยอำนาจกิเลสในหัวใจนะ! ไม่ใช่ตกทุกข์ได้ยากทางโลก ตกทุกข์ได้ยากทางโลกเขาเจือจานกันได้ ตกทุกข์ได้ยากในหัวใจ มันตกไปในอำนาจของกิเลส เห็นไหม เหมือนคนตกน้ำ ตกทะเล มันจมน้ำตาย แต่นี่มันตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหาความทะยานอยากโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว

นี่อำนาจโดยธรรมเป็นแบบนี้ อำนาจโดยธรรมไม่แสวงหาอำนาจ อำนาจนั้นเป็นไฟ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“อำนาจเหมือนเหล็กท่อนแดงๆ เผาแดงๆ แล้วทุกคนวิ่งเข้าไปกอดมัน เพราะเขาแย่งชิงกัน แต่อำนาจในหัวใจ อำนาจโดยธรรมมันชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา”

ถ้าเราชำระล้างอำนาจของกิเลสได้ เราจะเป็นอำนาจโดยธรรม ถ้าอำนาจโดยธรรม เห็นไหม มันเสียสละ มันเจือจาน มันเพื่อประโยชน์กับโลก ถ้าเป็นประโยชน์กับโลกนะ มันต้องเป็นประโยชน์กับเราก่อน เราจะไปเป็นประโยชน์กับโลก เราเอาอะไรไปเป็นประโยชน์? เราไม่มีสิ่งใดไปให้เขา แล้วเราจะเอาอะไรไปให้ ถ้าในหัวใจไม่เป็นธรรมจะเอาอะไรไปให้?

นี่เวลาเขาแสดงธรรม เห็นไหม “การให้ธรรมะชนะซึ่งการให้ทั้งปวง” แล้วให้อะไรล่ะ? ให้ธรรมะ ธรรมะจริงหรือเปล่า? ถ้าธรรมะเป็นความจริง มีการเสียสละ..

หลวงตาท่านบอกว่า “ให้กันโดยทานไม่ได้เลยหรือ? การเสียสละให้กันไม่ได้เลยหรือ? ทำไมต้องมีการแลกเปลี่ยน มีการซื้อขาย อันนั้นเป็นธรรมไหม? อันนั้นเป็นธรรมไหม?”

ถ้าเป็นธรรม เห็นไหม เราให้กันด้วยน้ำใจ เราให้กันด้วยการเสียสละ อันนั้นถึงเป็นความจริง ถ้าอันนั้นเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา แล้วในสังคมมันเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน?

ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราจะมีสติ แล้วเราจะมีการใคร่ครวญของเรา ถ้าเรามีการใคร่ครวญนะ ถ้าจิตใจอ่อนแอ จิตใจหวั่นไหว นี่เห็นไหม ลมพัดใบไม้ไหว แค่ลมพัดนะมันก็ตื่นเต้นไปกับเขาแล้ว แต่ถ้าไม่ลมพัดนะ ลมมันจะพัดแรงขนาดไหน พายุจะรุนแรงขนาดไหน มนุษย์นั้นยังยืนเด่นอยู่ที่นั่น มนุษย์นั้นยังมีจิตใจที่มั่นคง

เราจะช่วยเหลือเจือจานต่อคนที่ตกทุกข์ได้ยาก เวลาพายุมันพัดผ่านไป เห็นไหม มีแต่คนมีความทุกข์ตกได้ยาก เวลาพายุอารมณ์มันกระหน่ำในหัวใจของสัตว์โลกนะ มีแต่ความเร่าร้อน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“สัตว์โลกร้องกันว่า ร้อน! ร้อน! ร้อน! แล้วก็ถือคบไฟไปคนละท่อน แล้วก็วิ่งไป แล้วก็บ่นว่า ร้อน! ร้อน! ร้อน!”

คราวหนึ่งมีผู้ที่ฉลาด คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สละท่อนฟืนนั้น แล้วร้องตะโกนให้พวกเราช่วยกันด้วยการสละท่อนฟืนนั้น แต่เราถือท่อนฟืนของเราไป แล้วก็บ่นว่า ร้อน! ร้อน! ร้อน! เราถือทิฐิมานะ เห็นไหม โดยที่อำนาจของกิเลสมันขี่หัวใจเราไปไง แล้วเราก็บ่นว่า ร้อน! ร้อน! แต่พอเราจะเสียสละก็บอกว่าพวกนี้เห็นแก่ตัว เราจะโยนท่อนฟืนนี้ทิ้ง ท่อนฟืนที่มันติดไฟลุกโชติอยู่นี่ มันเผาเราอยู่นี่ เราจะเสียสละ เขาบอกว่าพวกนี้เห็นแก่ตัว

การจะสละท่อนฟืน เห็นไหม มือเรากำอะไรอยู่ จิตใจมันทุกข์ยากสิ่งใดอยู่ มันฟุ้งซ่านสิ่งใดอยู่ เราต้องทำความสงบของใจ เราต้องหาที่สงบระงับ นี่กายวิเวก จิตวิเวก.. สถานวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก เราไปภาวนากันอยู่ในบ้านในเรือน มันมีแต่ความกระทบกระทั่ง มันสงบได้ยาก เราต้องหาชัยภูมิที่เหมาะสมขึ้นมา ในที่สงบสงัด พอสงบสงัดจิตใจมันก็ดิ้นรนรุนแรงขึ้นไป เราก็พยายามดูแลมัน

เพราะเราจะสละท่อนฟืนนั้น เราจะสละความร้อนในหัวใจนั้น ฉะนั้นมันต้องมีที่มาที่ไปสิ มันไม่มีสิ่งใดเลย แล้วเราสละท่อนฟืนนั้น เราได้สละไฟในหัวใจเราแล้ว เราพ้นจากอำนาจที่มันข่มขี่เราแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร? เราจะพ้นจากอำนาจที่ข่มขี่เราแล้ว เราต้องรู้ต้องเห็นว่าใครเป็นอำนาจ? ใครมันข่มขี่เรา? แล้วเราสลัดเอาอะไรออกไป? แล้วเราวางสิ่งใดออกไป? แล้วจิตใจมันสละอย่างไร? จิตใจเป็นอิสระอย่างไร? นี่ถึงเป็นความจริง

นี่ดุ้นฟืนที่มันถืออยู่ ที่มันเร่าร้อนนี่ เราจะสละออกไปด้วยปัญญาของเรา เห็นไหม นี่เขาแสวงหาอำนาจมา ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันร้อนอยู่แล้ว ได้อำนาจมามันก็เผาร้อน เผาหัวใจมันเข้าไป ๒ ชั้น ๓ ชั้น เราจะมาเสียสละกัน แต่โลกบอกคนพวกนี้ไม่มีปัญญา ไม่แสวงหาความสุขกัน โลกเขามีความสุขเจริญรุ่งเรือง พวกนี้ไปทำอะไรกันอยู่ เพราะพวกนี้เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เราจะเดินตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์ ท่านเสียสละออกมา พวกเรานี่ปากกัดตีนถีบวิ่งเข้าไปหากองไฟกัน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละ ให้ทิ้งดุ้นฟืนนั้น แล้วเราจะเข้าใจว่าศาสนามันคืออะไร?

ความร่มเย็นเป็นสุขในความเป็นจริงมันเป็นที่หัวใจของเรา ไม่ใช่เป็นที่ใจของอาจารย์นะ ไปหาครูบาอาจารย์ โอ้โฮ.. อาจารย์เย๊น เย็น โอ้โฮ.. อาจารย์ดี๊ ดี แต่หัวใจเราเป็นไฟ แต่ถ้าเราเป็นธรรมขึ้นมานะ หัวใจเรานี่ต้องดัดแปลงมัน ให้มันควบคุมได้ ให้มันร่มเย็นได้

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตเรา ทรัพย์สมบัติหามาได้เพราะมีชีวิตนี้ แก้ว แหวน เงิน ทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ มีเพราะมีเรา เพราะมีชีวิตนี้ ฉะนั้นชีวิตนี้ถึงมีค่าที่สุด แล้วชีวิตนี้ก็ทุกข์ที่สุดถ้าไม่มีธรรม ชีวิตนี้มีหลักมีเกณฑ์ถ้ามันมีธรรม เพราะมีชีวิตเราถึงมีทรัพย์สมบัติ มีชื่อเสียง มีกิตติคุณต่างๆ เพราะมีชีวิต พอตายไปแล้วเครื่องราชเขาเอาคืนนะ ใครตายเสร็จแล้วต้องเอาคืนหมด เอาคืนหมด เขาให้ไว้ตอนมีชีวิตเท่านั้น พอสิ้นชีวิตแล้วเขาต้องคืน

ฉะนั้น พอคืนแล้วจิตไปไหนล่ะ? บุญกุศลเป็นของเรา มันจะไปกับเรานะ เราต้องสร้างของเราเพื่อบุญกุศลของเรา นี้คือสัจธรรม นี้คือความจริงที่เราแสวงหาที่เป็นนามธรรม เหมือนอากาศที่เราไขว่คว้าหาไม่ได้ แต่จิตใจนี่ถ้ามีสติ สมาธิก็รู้ว่าสมาธิ ปัญญาก็รู้ว่าปัญญา มรรค ผล ก็รู้ว่ามรรค ผล ดุ้นไฟได้ทิ้งแล้วก็ว่าได้ทิ้งแล้ว ถ้ายังไม่ได้ทิ้งแล้วบอกว่าทิ้ง มันก็ซ่อนอยู่ภายใน เผาลนอยู่ภายใน นี้คือปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน เอวัง